ประเภทของ Verb มีอะไรบ้าง
การแบ่งประเภทของ Verb ขึ้นอยู่กับว่า จะแบ่งกันอย่างไร ไม่กำหนดหลักเกณฑ์ตายตัวแน่นอน
1. สกรรมกริยา (Transitive Verb) และ อกรรมกริยา (Intransitive Verb)
– สกรรมกริยา (Transitive Verb) คือกริยาที่ต้องมากรรมมารับ มิฉะนั้นจะไม่สามารถสื่อความหมายได้สมบูรณ์ คำกริยาชนิดนี้ ได้แก่ love, like, eat, hit, clean, buy, cut, do, have, make, meet เป็นต้น ถ้าไม่มีกรรมมารับจะไม่สามารถสื่อความกันได้เป็นที่เข้าใจกัน เช่น
I love. ผมรัก…. อ้าวแล้วรักอะไรล่ะ ..ดังนั้นจึงต้องมีกรรมมารองรับ
We eat. พวกเรากิน…. อ้าวแล้วกินอะไรล่ะ ..ดังนั้นจึงต้องมีกรรมมารองรับ
ตัวอย่างเช่น
• I love you.
ผมรักคุณ (คุณเป็นกรรมของประโยค)
• You like a cat.
คุณชอบแมว (แมวเป็นกรรมของประโยค)
• We eat rice.
พวกเรากินข้าว (ข้าวเป็นกรรมของประโยค)
• They buy a car.
พวกเขาซื้อรถยนต์ (รถยนต์เป็นกรรมของประโยค)
– อกรรมกริยา (Transitive Verb) คือกริยาที่ไม่ต้องมากรรมมารับ ก็สามารถสื่อความหมายได้สมบูรณ์ คำกริยาชนิดนี้ ได้แก่ sit, stand, swim, walk, sleep, fly, run, sing, dance เป็นต้น
• I sit.
ผมนั่ง
• You stand.
คุณยืน
• We walk.
พวกเราเดิน
• They sleep.
พวกเขานอนหลับ
จะเห็นได้ว่าแค่มีประธาน กับกริยา ก็สามารถสื่อความได้แล้วว่า ใครทำอะไร
2. กริยาแท้ (Main Verb) และ กริยาช่วย (Helping Verb)
– กริยาแท้ (Main Verb) หรือกริยาหลักของประโยค ถ้าในประโยคนั้นๆมีคำกริยาตัวเดียว จะไม่ใช่ปัญหาใดๆ เพราะคำกริยาที่ปรากฎ มันก็คือกริยาหลักของประโยคนั้นเอง เช่น
• I walk to school.
ฉันเดินไปโรงเรียน ( walk เป็นกริยาแท้)
• You are a doctor.
คุณเป็นหมอ (are เป็นกริยาแท้)
• They sing beautifully.
พวกเขาร้องเพลงอย่างไพเราะ (sing เป็นกริยาแท้)
• They eat rice.
พวกเขากินข้าว (eat เป็นกริยาแท้)
– กริยาช่วย (Helping Verb) บ้างก็เรียกว่า auxiliary verb หมายถึง คำกริยาที่เป็นตัวเสริมเข้าไปร่วมกับกริยาแท้ ให้ถูกต้องตามโครงสร้างของประโยค โดยที่ไม่มีความหมายใดๆ
• I am walking to school.
ฉันกำลังเดินไปโรงเรียน ( am เป็นกริยาช่วย ส่วน walk เติม ing เป็นกริยาแท้)
• You are a doctor.
คุณเป็นหมอ (are เป็นกริยาแท้)
• They are singing beautifully.
พวกเขากำลังร้องเพลงอย่างไพเราะ (are เป็นกริยาช่วย ส่วน sing เติม ing เป็นกริยาแท้)
• They have eaten rice.
พวกเขากินข้าวแล้ว (have เป็นกริยาช่วย ส่วน eaten เป็นกริยาแท้)
ปล. คำว่า is am are และ have has ถ้าปรากฎลำพังในประโยคจะเป็นกริยาแท้ แต่ถ้าไปเสริมเข้ากับกริยาตัวอื่นจะเป็นกริยาช่วย เช่น
I am a doctor. ผมเป็นหมอ (am เป็นกริยาแท้)
I am singing. ผมกำลังร้องเพลง (am เป็นกริยาช่วย)
I have a dog. ผมมีหมาหนึ่งตัว (have เป็นกริยาแท้)
I have eaten rice. ผมกินข้าวแล้ว (have เป็นกริยาช่วย)
3. กริยาปกติ (Regular Verb) และ กริยาอปกติ (Iregular Verb)
กริยาปกติ (Regular Verb) คือ คำกริยาที่เติม ed ต่อท้าย ในช่อง 2 และ 3 ซึ่งเป็นการง่ายสำหรับผู้เรียน ถ้าจะผันกริยา เพราะแค่เติม ed ต่อท้ายก็จบข่าว เช่น
1 | answer | answered | answered | ตอบ (คำถาม) รับ (โทรศัพท) |
2 | arrive | arrived | arrived | มาถึง ไปถึง |
3 | attend อะเท็นด | attended อะเท็นเด็ด | attended | (เข้าร่วม) ประชุม |
4 | beg เบก | begged เบกด | begged | ขอ |
5 | call คอล | called คอลด | called | เรียก โทรหา |
6 | change เชนจึ | changed เชนจดึ | changed | เปลี่ยน |
7 | clean คลีน | cleaned คลีนด | cleaned | ทำความสะอาด |
กริยาอปกติ (Regular Verb) จะเรียกมันว่า กริยาผิดปกติก็ได้นะ เพราะกริยากลุ่มนี้ จะแปลงร่างตัวเอง ในช่อง 2 และ 3 ซึ่ง ทำให้ผู้เรียนต้องจดจำให้ได้ว่า มันแปลงร่างไปยังไง และบางคำก็คงรูปเดิมไว้ซะอย่างนั้น เช่น
1 |
be = is, am, are | was, were | been | เป็น อยู่ คือ | |
2 |
become (บิคั๊ม) | became (บิเค๊ม) | become | กลายเป็น | |
3 |
begin (บิกิ๊น) | began (บิแก๊น) | begun (บิกั๊น) | เริ่มต้น | |
4 |
cut คัท | cut | cut | ตัด | |
5 |
do ดู | did ดิด | done ดัน | ทำ | |
6 |
go โก | went เว็นท | gone กอน | ไป |